วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 13 การบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์

13.1 บทนำ
         ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์จะลดลงมามากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถึงกับอยู่ในขั้นหลักร้อยหรือหลักพันบาทเพราะยังคงมีราคาอยู่ในหลักหมื่นบาทดังนั้นผู้ที่ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อมาใช้งานจึงจำเป็นจะต้องดูแลรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ซื้อมาให้อยู่ในสภาพดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้กับการซ่อมเครื่อง

13.2 สิ่งที่ถือเป็นอันตรายต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
      
สิ่งที่ถือว่าเป็นอันตรายสามารถทำร้ายเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เสียหายก่อนถึงเวลาอันควรนั้น ได้แก่
                 1. ความร้อน
                     ความร้อน ได้แก่ ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เอง และภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าในการทำงานเป็นสาเหตุให้มีกระแสไฟฟ้าที่เป็นพลังงานให้กับอุปกรณ์ภายใน บางส่วนสูญเสียออกมาในรูปของความร้อนซึ่งความร้อนนี้เองเป็นสาเหตุของความเสียหายกับอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์
                      การแก้ปัญหาเกี่ยวกับความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำได้ดังนี้
                      1.1 การระบายความร้อนด้วยพัดลม หรือ Power Supply เครื่องคอมพิวเตอร์บางรุ่นจะมีพัดลม ระบายความร้อนอยู่ภายในเครื่องเลย แต่สำหรับบางรุ่นจะไม่มีมาให้ ผู้ใช้จะต้องซื้อมาติดเพิ่มเอง
                      1.2 ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ในสถานที่ที่อุณหภูมิเหมาะสม สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้งานในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 60 - 85 องศา ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว แผงวงจรภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ในอุณหภูมิร้อนถึง 125 องศา แต่ปกติอุณหภูมิภายในเครื่องคอมพิวเตอร์จะสูงกว่าอุณหภูมินอกเครื่องประมาณ 40 องศา ดังนั้น 85 องศา จึงเป็นอุณหภูมิสูงสุดที่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้
                     1.3 ตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากแสงแดด เพราะแสงแดดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นได้ ดังนั้นถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกแสงแดดส่องเป็นเวลานาน ๆ อาจจะเกิดความเสียหายได้
             2. ฝุ่นผง
                 ฝุ่นผงอาจทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างเพราะฝุ่นผงสามารถเกาะพื้นผิวชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น แผงวงจรภายใน เมื่อนาน ๆ ไปจะเคลือบหนาขึ้นและยึดติดแน่นจนทำให้เป็นฉนวนกั้นความร้อนทำให้แผงวงจรนั้นไม่สามารถระบายความร้อนได้ เป็นผลเสียต่อเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงควรกำจัดฝุ่นผงภายในเครื่องคอมพิวเตอร์สม่ำเสมอ ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ในบ้านควรทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นเครื่องที่ใช้ภายในสำนักงานควรทำความสะอาดทุก 6 เดือน
            3. แม่เหล็ก
                แม่เหล็กไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง แต่จะสร้างความเสียหายให้กับข้อมูลที่อยู่แผ่นดิสก์หรือแม้กระทั่งฮาร์ดดิสก์ได้ ซึ่งอาจถึงขั้นใช้ดิสก์นั้นไม่ได้เลย จอภาพก็เป็นแหล่งกำเนิดแรงแม่เหล็กด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าผู้ใช้เผลอวางแผ่นดิสก์ไว้ใกล้จอภาพก็อาจทำให้ข้อมูลภายในดิสก์เสียหายลำโพงก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน รวมถึงมอเตอร์ที่อยู่ภายในเครื่องพิมพ์ก็เป็นแหล่งกำเนิดแม่เหล็กได้เช่นกัน
           4. น้ำและของเหลว
               น้ำและของเหลวเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อคอมพิวเตอร์ได้ง่าย สาเหตุเพราะน้ำและของเหลวจะเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ได้หลายทางด้วยกัน ทางที่ดีควรหาพลาสติกมาคลุมเครื่องไว้ในเครื่องไว้เมื่อไม่ใช้งาน
          5. กระบวนการเกิดสนิม
              ตัวการที่ก่อให้เกิดสนิมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งภายนอกและแผงวงจรภายใน ได้แก่
              - เกลือและเหงื่อ
              - น้ำ
              - อากาศ (ที่มีกรดซัลฟูริก กรดเกลือ หรือกรดคาร์บอนิก)
              ปัญหาใหญ่ก็คือ การเกิดสนิมที่อุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะอาจทำให้คอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานได้หรือทำงานผิดพลาด เพราะฉะนั้นจึงควรระมัดระวังสิ่งที่จะทำให้เกิดสนิม

13.3 การบำรุงรักษาฮาร์ดแวร์
         
1. หม้อแปลงไฟฟ้า (Power Supply)
              ภายในหม้อแปลงไฟฟ้ามีพัดลมระบายความร้อนด้วย อีกทั้งยังมีอันตรายจากกระแสไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้ากระชาก ซึ่งอาจเกิดจากฟ้าผ่าหรือไฟฟ้าดับและติดอย่างรวดเร็ว และไฟฟ้าดับ ดังนั้น เราจึงควรป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ด้วยการถอดสายเพาเวอร์ออกจากเต้าเสียบไฟฟ้า เพราะอาจเกิดฟ้าผ่าบริเวณใกล้ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ ได้รับความเสียหายหรือติดตั้งเครื่อง UPS ( Uninteruptable Power Supply ) ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าและป้องกันไฟฟ้ากระซาก และทำให้เรามีเวลาเพียงพอที่จะบันทึกข้อมูลที่สำคัญไว้
        2. จอภาพ
             ทำการรักษาภายนอกจอภาพด้วยน้ำยาทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์และคลุมเครื่องด้วยพลาสติกหรือผ้าแล้ว ยังควรมีโปรแกรมสกรีนเซิร์ฟเวอร์ที่สามารถ ถนอมจอภาพกรณีที่เครื่องเปิดไว้นาน ๆ
        3. ฟล็อปปี้ดิสก์ ( Floppy Disk )
            การบำรุงรักษาฟล็อปปี้ดิสก์ ทำได้โดย
            - เก็บแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ให้ห่างจากแม่เหล็ก หรือสนามแม่เหล็ก เช่น มือถือ โทรศัพท์
            - อย่าให้ของเหลวใด ๆ หกรดลงแผ่นดิสก์
            - อย่าเก็บแผ่นไว้ในสถานที่ซึ่งมีความชื้น ร้อน หรือเย็นเกินไป
            - อย่าใช้มือหรือสิ่งอื่นใดสัมผัสช่องอ่าน / บันทึก
            - อย่าทำให้แผ่นดิสก์โค้งหรืองอ
            - อย่าใช้ตัวหนีบหรือยางรัดแผ่นดิสก์เกต
            - อย่าใช้ปากกาหมึกแห้งหรือดินสอเขียนบนแผ่นป้ายฉลากที่อยู่บนแผ่นดิสก์
            - ควรติดป้ายฉลากบอกชื่อแผ่นดิสก์เกต
            - ควรเก็บแผ่นดิสก์เกตไวในกล่องอย่างเป็นระเบียบ
       4. ฮาร์ดดิสก์ ( Hard Disk )
           การบำรุงรักษาฮาร์ดดิสก์ นอกจากจะไม่ให้ฮาร์ดดิสก์กระทบกระเทือนและระมัดระวังไม่ลบไฟล์สำคัญที่เกี่ยวกับการทำงานของฮาร์ดิสก์แล้ว ยังต้องป้องกันไม่ให้เกิดไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ฮาร์ดดิสก์ด้วย นอกจากนี้ เดือนหนึ่ง ๆ ควรจะใช้โปรแกรมซ่อมแซมดิสก์เพื่อตรวจสอบว่าดิสก์มีปัญหาอะไร และควรใช้โปรแกรมประเภท Defragmentation ทำกระบวนการย้อนกลับเพื่อให้ส่วนของไฟล์มาเรียงชิดกันเหมือนเดิมจะทำให้การอ่านเขียนเร็วขึ้น
      5. ดิสก์ไดร์ฟ ( Disk Drive )
          ในขณะที่ดิกส์ไดร์ฟกำลังทำงาน ไม่ควรดึงแผ่นดิสก์ออกจากดิสก์ไดร์ฟ คอมดูแลระวังฝุ่นละอองอย่าให้มีฝุ่นเกาะและควรล้างทำความสะอาดหัวอ่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง ควรปฏิบัติอย่างน้อยเดือนละครั้ง
      6. ซีดีรอมไดร์ฟ ( CD-Rom Drive )
          การบำรุงรักษา ทำได้โดยใช้ล้างทำความสะอาดซีดีรอมไดร์ฟ
      7. เครื่องพิมพ์ ( Printer )
          นอกจากจะทำความสะอาดจากภายนอกแล้ว ยังต้องระมัดระวังเรื่องการสอดใส่กระดาษ อย่าให้กระดาษติด อย่าให้ของเหลวใด ๆ หกใส่ ปราศจากฝุ่นละอองและควรอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิเหมาะสม

13.4 การใช้งาน Defrag ฮาร์ดดิสก์ เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการทำงานของระบบ
             
การทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์หรือ Disk Defragmenter ก็คือการทำการจัดเรียงข้อมูลของไฟล์ต่าง ๆ ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ให้มีความต่อเนื่องหรือเรียงเป็นระบบต่อ ๆ กันไป ประโยชน์ที่จะได้รับคือ ความเร็วในการอ่านข้อมูลของไฟล์นั้น จะมีการอ่านข้อมูล ได้เร็วขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นถ้าหากมีไฟล์ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสก์ ที่มีการเก็บข้อมูลแบบกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อต้องการอ่าน ข้อมูลของไฟล์นั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ก็จะต้องมีการเคลื่อนย้ายไปมาเพื่อทำการอ่านข้อมูลจบครบ หากเรามีการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์ แล้วจะทำให้การเก็บข้อมูลจะมีความต่อเนื่องกันมากขึ้น เมื่อต้องการอ่านข้อมูลนั้น หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์จะสามารถอ่านได้ โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายหัวอ่านบ่อยหรือมากเกินไป จะทำให้ใช้เวลาในการอ่านได้เร็วขึ้น
ที่จริงแล้ว ยังมีโปรแกรมของบริษัทอื่น ๆ อีกหลายตัวที่สามารถทำการจัดเรียงข้อมูลให้มีความต่อเนื่องกันได้ เช่น Speeddisk ของ Norton และอื่น ๆ อีกมาก แต่ในที่นี้จะขอแนะนำหลักการของการใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ที่มีมาให้กับ Windows อยู่แล้ว ไม่ต้องไปค้นหาจากที่อื่น

13.5 ข้อแนะนำก่อนใช้โปรแกรม Disk Defragmenter

           เพื่อให้การใช้งาน Disk Defragmenter มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก่อนการเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter ควรจะเรียกโปรแกรม Walign ก่อนเพื่อการจัดเรียงลำดับของไฟล์ที่ใช้งานบ่อย ๆ ให้มาอยู่ในลำดับต้น ๆ ของฮาร์ดดิสก์ครับ โดยที่โปรแกรม Walign จะทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลการใช้งานไฟล์ ที่มีการเรียกใช้บ่อย ๆ ไว้ และนำมาจัดการเรียงลำดับ ให้อยู่ในส่วนแรก ๆ ของฮาร์ดดิสก์ ดังนั้นการที่เราเรียกโปรแกรม Walign ก่อนการทำ Disk Defragmenter จะเป็นการเพิ่มความเร็วของการอ่านข้อมูลได้อีกทางหนึ่ง โปรแกรม Walign จะอยู่ใน Folder C:\WINDOWS\SYSTEM\Walign.exe ครับ เปิดโดยการเข้าไปใน My Computer และเลือกไฟล์





รูปที่ 1 การเลือกไฟล์ Walign.exe

กดดับเบิลคลิกที่ไฟล์ Walign เพื่อเรียกไฟล์ Walign.exe




รูปที่ 2 ไฟล์ Walign กำลังทำงาน

โปรแกรมจะเริ่มต้นการ Tuning up Application เมื่อเสร็จแล้วจึงทำการ Defrag ต่อไป

13.6 ข้อควรจำก่อนทำการ Defrag
             
สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในการทำ Disk Defrag คือต้องปิดโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ในขณะนั้นให้หมดก่อน เช่น Screen Saver, Winamp หรือโปรแกรมอื่น ๆ ที่จะต้องทำให้มีการอ่าน-เขียน ฮาร์ดดิสก์ บ่อย ๆ เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่ฮาร์ดดิสก์มีการอ่าน-เขียนข้อมูล จะทำให้โปรแกรม Disk Defragment เริ่มต้นการทำ Defrag ใหม่ทุกครั้ง ทำให้การทำ Defrag ไม่ยอมเสร็จง่าย ๆ หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows แบบ Safe Mode โดยการกด F8 เมื่อเปิดเครื่องเพื่อเข้าหน้าเมนู และเลือกเข้า Safe Mode แทนก็ได้

13.7 การเรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter

          เรียกใช้โปรแกรม Disk Defragmenter โดยการกดเลือกที่ Start Menu เลือกที่ Programs และเลือก Accessories เลือกที่ System Tools และเลือก Disk Defragmenter ดังรูปที่ 3




 รูปที่ 3 การเรียกใช้งานโปรแกรม Defrag 

เลือกที่ Disk Defragmenter เพื่อเรียกใช้โปรแกรม Defrag




รูปที่ 4 แสดงไดร์ฟที่ต้องการจะทำการ  Defrag

เลือกที่ Drive ที่ต้องการทำ Defrag และกด OK เพื่อเริ่มต้นการทำ Defrag หรืออาจจะเลือกที่ Settings... เพื่อทำการตั้งค่าต่าง ๆ ก่อนก็ได้


รูปที่ 5 แสดงการตั้งค่าก่อนทำการ  Defrag

Rearrange program files... เลือกถ้าต้องการให้มีการจัดเรียงลำดับการเก็บข้อมูลของไฟล์



รูปที่ 6 แสดงการเริ่มทำการ  Defrag

เมื่อกด OK ก็จะเริ่มต้นการทำ Disk Defragment ซึ่งระยะเวลาที่ใช้  จะขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลในฮาร์ดดิสก์และขนาดของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งถ้าไม่เคยทำการ Defrag เลย ก็จะใช้เวลานาน ประมาณ 1-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว การ Defrag ไม่จำเป็นต้องทำบ่อย ๆ ก็ได้ ถ้าหากเห็นวาการทำงานของเครื่องช้าลงก็ควรทำ แต่ถ้าเครื่องยังทำงานได้เร็วอยู่ก็ไม่ต้องทำการ Defrag ก็ได้ เพราะการ Defrag บ่อย ๆ จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักและอาจจะเกิดการเสียหายได้

13.8 ข้อควรระวังในการทำ Defrag ฮาร์ดดิสก์


ขณะที่กำลังทำการ Defrag หากต้องการยกเลิกการทำงาน จะต้องกดที่ Stop เท่านั้น ห้ามปิดเครื่องหรือกดปุ่ม Reset เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของคุณอาจจะสูญหายได้


บทที่ 12 การติดตั้งโปรแกรม Multimedia

12.1 บทนำ
       โปรแกรม Multimedia ในปัจจุบันนับว่ามีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวเนื่องจากว่าคอมพิวเตอร์ใน ปัจจุบันสามารถตอบสนองความต้องการได้มากกว่าการพิมพ์งาน มีการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการดูภาพยนต์ ฟังเพลง หรือเล่นเกม เพื่อความบันเทิงกันมากขึ้น ในบทนี้จะแนะนำวิธีการติดตั้งโปรแกรม Winamp ซึ่งโปรแกรมสำหรับฟังเพลงรูปแบบ MP3 และโปรแกรม Power DVD ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับดูภาพยนตร์
2.2 การติดตั้ง Winamp โปรแกรมเล่นเพลง MP3
      Winamp เป็นโปรแกรมสำหรับเล่นเพลงแบบ MP3 และสามารถเล่นเพลงในรูปแบบอื่น ๆ ได้ด้ววย มีหน้ากากหรือ Skin สำหรับเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้ นอกจากนี้ยังสามารถเล่นเพลงของ CD Audio ธรรมดาได้มีการปรับแต่งเสียง และอื่น ๆ อีกมากมาย ในบทนี้จะแนะนำวิธีการติดตั้งโปรแกรม Winamp Version 2.62 ซึ่งสามารถหา Download ได้จาก http://www.winamp.com/ มาดูวิธีการติดตั้งกัน เริ่มจากทำการ Download มาเก็บไว้ก่อน แล้วเริ่มต้นการติดตั้ง โดยดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ Setup ที่ดาวน์โหลดมาจะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 1 ให้กดที่ปุ่ม Next

รูปที่ 1 แสดงการเริ่มติดตั้งโปรแกรม Winamp
       เมื่อกดปุ่ม Next แล้วจะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 2 เป็นการเลือกให้ Winamp สามารถทำงานกับไฟล์ต่าง ๆ ได้ให้กดที่ปุ่ม Next อีกครั้ง

รูปที่ 2 แสดงการเลือกไฟล์ที่จะทำงานร่วมกับ Winamp
       จะปรากฏหน้าต่างดังรูปที่ 3 เป็นการเลือกไดเรกทอรีที่จะติดตั้งโปรแกรม โดยโปรแกรมจะทำการเซ็กเนื้อที่ที่ว่างใน Harddisk และเนื้อที่ ๆ โปรแกรมต้องการให้กดปุ่ม Next

รูปที่ 3 แสดงหน้าต่างการเลือกไดเรกทอรีติดตั้งโปรแกรม
       โปรแกรมจะเริ่มต้นการติดตั้ง

รูปที่ 4 แสดงการเริ่มติดตั้งโปรแกรม

       เมื่อติดตั้งไปซักพักโปรแกรมจะให้เลือกชนิดของการ Connect to the Internet ว่าท่านใช้แบบ LAN,Dial-Up หรือไม่มี Internet หรือถ้าหากจะใช้ Winamp เพื่อฟังเพลงจากเครื่องเราอย่างเดียวก็เลือก No Internet Connection Available แล้ว กด Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป




รูปที่ 5 แสดงการเลือกการเชื่อมต่อกับ Internet หรือไม่


       เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะแสดงหน้าต่างดังรูปที่ 6 ให้กดที่ปุ่ม Run Winamp เพื่อเรียกโปรแกรม Winamp ขึ้นมา

รูปที่ 6 แสดงการสิ้นสุดการติดตั้งโปรแกรม Winamp

          หน้าตาของโปรแกรม Winamp ก็จะแสดงขึ้นมาดังรูปที่ 7 ส่วนในการติดตั้งโปรแกรม Winamp เวอร์ชันอื่น ๆ จะมีลักษณะคล้าย ๆ เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนกันเลยที่เดียว

รูปที่ 7 แสดงหน้าตาของโปรแกรม Winamp 
12.3 การติดตั้ง Power DVD โปรแกรมสำหรับดูภาพยนตร์
          โปรแกรม PowerDVD เป็น Software จาก http://www.cyberlink.com.tw ใช้สำหรับดูหนังจาก VCD หรือ DVD ก็ได้ ได้ยินชื่อแล้วก็ดูน่ากลัวดี แต่ความจริงแล้วโปรแกรมนี้ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ง่ายมาก ๆ ทีเดียว มีลูกเล่นได้หลายอย่าง แนะนำให้ลองหามาใช้ดู
มาดูวิธีการติดตั้งกัน ดีกว่า เริ่มจากหา Download มาก่อน หลังจากที่ได้ Download มาแล้วให้ทำการ Unzip เก็บไว้ใน Folder ใหม่และเริ่มต้น setup โดยกดดับเบิลคลิกที่ไฟล์ setup

กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


ใส่ชื่อและ CD-Key และกดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



ยกเลิกการเลือกที่ช่อง Yes, I want to register now! ออกก่อนนะครับแล้วกด Finish


กดที่ Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ OK เป็นอันจบขั้นตอนการติดตั้ง พร้อมใช้งานได้ทันที

                                        (http://www.l3nr.org/posts/57234)
สรุปท้ายบท 
           โปรแกรม Winamp เป็นโปรแกรม Multimedia ที่นิยมใช้กับไฟล์ประเภท MP3 ซึ่งข้อดีของ Winamp คือ โปรแกรมมีขนาดเล็ก สามารถดาวน์โหลดได้จาก Internet และสามารถปรับเปลี่ยนหน้าตาของโปรแกรม (Skin) ได้มากมายหลายแบบ



บทที่ 11 การติดตั้งและใช้งานโปรแกรม WinZip 8.0

บทนำ
             วินชิปเป็นโปรแกรมอรรถประโยชน์โปรแกรมหนึ่งที่ต้องมีไว้ประจำเครื่องคอมพิวเตอร์วินชิปเป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับบีบอัดไฟล์หรือข้อมูลที่ต้องการทำให้มีขนาดไฟล์ที่เล็กพอที่จะทำการจัดเก็บลงในสื่อบันทึกข้อมูลที่ต้องการได้  นอกจากวินชิปแล้วก็ยังมีโปรแกรมช่วยในการบีบอัดข้อมูลอีกหลายตัวเช่น WinRAR , ZipDisk เป็นต้น ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
          โปรแกรมวินชิปในปัจจุบัน (2548) เป็นเวอร์ชัน 9.0 ซึ่งมีลักษณะการใช้งานแทบจะไม่แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้าเลยเรียกได้ว่าจะลงเวอร์ชันไหนก็ใช้งานได้แทบจะเหมือนกันจากตัวอย่างนี้จะใช้วินชิปเวอร์ชัน 8.0
     1.   เตรียมแผ่นซีดีรอมโปรแกรมวินชิป ในการลงโปรแกรมวินชิปหรือโปรแกรมอื่น ๆ ก่อนจะลงต้องสังเกตว่าโปรแกรมโปรแกรมเป็นแผ่นทดลอง ด้วยการดูที่เวอร์ชันที่เขียนบอกไว้ที่ปกหรือในไดเรกทอรีของโปรแกรม เช่นถ้ามีคำว่า Full หรือ Final ก็หมายถึงเป็นเวอร์ชันเต็ม แต่ถ้าเป็น Beta หรือ Retail ก็หมายความว่าเป็นเวอร์ไม่เต็ม ควรเลือกแบบที่เป็นเวอร์ชันเต็มจะดีกว่า
     2.  ให้เลือกปุ่ม Setup
     3.  หลังจากนั้นโปรแกรมจะถามว่าต้องการติดตั้งวินชิปไว้ในไดเรกทอรีใด ส่วนมากจะเป็น C:\Program Files\WinZip ถ้าไม่ชอบใจก็สามารถเปลี่ยนไดเรกทอรีที่จะเก็บข้อมูลได้โดยกดที่ปุ่ม Browse แล้วเลือกไดเรกทอรีที่ต้องการ เสร็จแล้วกดปุ่ม OK
    4. โปรแกรมจะทำการติดตั้งใช้เวลาสักครู่
    5.  เมื่อทำการติดตั้งเสร็จแล้วจะปรากฏหน้าจอหนึ่งขึ้นเพื่อเซ็ตค่าเริ่มต้นให้กับวินชิปให้กดที่ปุ่ม Next> เพื่อดำเนินการเซ็ตค่า
    6. วินชิปจะถามว่าเรายอมรับในเงื่อนไขของวินชิปหรือไม่ถ้ายอมรับก็กดปุ่ม Yes
    7.  วินชิปจะให้เลือก Quick Start คือเมื่อเริ่มต้นโปรแกรมจะให้โชว์สถานะของโปรแกรมแบบใดให้กดปุ่ม  Next> เพื่อดำเนินการต่อไป
    8.  ในการเลือกสถานะมีอยู่สองแบบคือแบบอัตโนมัติ และแบบคลาสสิกหรือแบบเก่า พอเลือกเสร็จแล้วกดปุ่ม Next>
    9. ให้กดปุ่ม Next> ไปจนกว่าจะจบกระบวนการติดตั้ง
    10.  หน้าจอสุดท้ายของการติดตั้งให้กดปุ่ม Finish ก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับการติดตั้งวินชิป
การใช้งานโปรแกรมวินชิป
          วินชิปเป็นโปรแกรมที่ใช้งานในบีบอัดไฟล์หรือข้อมูลต่าง ๆ ให้เล็กลง แต่ส่วนมากวินชิปจะใช้ได้ผลดีกับข้อมูลประเภทไฟล์เอกสาร หรือไฟล์ข้อมูลต่าง ๆ แต่จะไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไหร่กับไฟล์ประเภทภาพถ่ายนั่นคือ ถ้าเป็นไฟล์ประเภทภาพถ่ายจะบีบอัดข้อมูลได้น้อยหรือแทบจะไม่ได้เลยนั่นเอง
การบีบอัดไฟล์เอกสาร
  1. เปิด My document ขึ้นมาเพื่อหาไฟล์เอกสารไมโครซอฟต์เวิร์ด หรือจะสร้างไฟล์เอกสารขึ้นมาเองก็ได้ แต่ควรจะให้มีหลายหน้าเพื่อที่จะได้เห็นความแตกต่างระหว่างเอกสารที่ย่อแล้วกับเอกสารที่ยังไม่ได้ย่อ
  2. เมื่อเจอเอกสารที่ต้องการแล้วก็ให้เลือกเอกสารโดยใช้ เมาส์ขวาที่เอกสารนั้นจะปรากฎเมนูขึ้นมา
 3. ให้เลือกที่เมนู WinZip จะมีเมนูย่อยของวินชิปปรากฏขึ้นอีก ส่วนของเมนูย่อยประกอบด้วย                                                                                                                                               
       Add to Zip file… หมายถึง ย่อไฟล์โดยที่ตั้งชื่อเอง
      Add to File name.zip หมายถึง ย่อไฟล์โดยใช้ชื่อไฟล์เดิม
      Add to recently used Zip file หมายถึงทำการย่อแล้วส่งไฟล์ไปที่ ๆ เอกสารนั้นเคยอยู่
     Zip and E-Mail File name.zip หมายถึง ย่อแล้วส่งไปที่อีเมลล์ที่ต้องการโดยใช้ชื่อเดิม
     Zip and E-Mail Plus… หมายถึง ย่อเอกสารแล้วต้องการเพิ่มเอกสารอื่น ๆ ก่อนส่งไปอีเมลล์
    Configure หมายถึง การกำหนดค่าคอนฟิกของวินชิป
4.    เลือกเมนูที่ 1 Add to Zip file… จะปรากฏหน้าต่างขึ้น
5    5. ในช่อง Add to Archive จะเป็นการเลือกไดร์ฟที่จะเก็บข้อมูลไฟล์ชิปที่ย่อแล้วและตั้งชื่อไฟล์และตั้งชื่อไฟล์ ให้กดปุ่ม Add เพื่อเริ่มการบีบอัดไฟล์


สรุปท้ายบท
     ขนาดของไฟล์ในปัจจุบันมีขนาดที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสมันก่อน  เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีด้านมัลติมีเดียได้ก้าวหน้าไปมาก  การใช้ภาพ ใช้เสียง  ในการทำงานก็ก้าวหน้าตามไปด้วย จึงทำให้ขนาดของไฟล์มีขนาดเพิ่มขึ้นนั่นเอง การใช้งานโปรแกรมวินชิปเพื่อใช้ลดขนาดของเอกสารเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากช่วยลดขนาดของไฟล์ลงไปได้อย่างมาก  ทำให้ไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่จัดเก็บ แต่ข้อเสียของโปรแกรมวินชิปคือ การลดขนาดไฟล์ชนิดภาพถ่าย ทำได้ไม่ดีนัก แทบจะไม่แตกต่างจากไฟล์ต้นฉบับเท่าใดนักแต่ถ้าเป็นไฟล์ชนิดเอกสาร โปรแกรมวินชิปสามารถลดขนาดไฟล์ได้อย่างดีทีเดียว


วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 10 การติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

10.1 บทนำ

         โปรแกรม PC-Cillin 2000 เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ไม่ไปโหลดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์มากนัก ไม่ทำให้เครื่องช้าลง และการอัพเกรดข้อมูลไวรัส ทำได้ง่ายและรวดเร็วมากและที่สำคัญสามารถทำการตรวจสอบไวรัสที่มีมากับอีเมล์ได้ด้วย ในบทนี้จะมาเรียนการติดตั้งและใช้งานโปรแกรม PC-Cillin


10.2 การติดตั้งโปรแกรม PC-Cillin

ใส่แผ่น CD-Rom ที่มีโปรแกรม PC-Cillin แล้วดับเบิ้ลคลิกเปิดไฟล์ pcc2k.exe เพื่อเริ่มขั้นตอนการติดตั้ง


หลังจากเรียกไฟล์สำหรับทำการติดตั้งจะได้หน้าจอตามภาพ กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


จะได้หน้าจอตามรูปภาพที่ 2 กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป




โปรแกรมจะทำการตรวจสอบว่าไม่มีไวรัสอยู่ในระบบ กด OK เพื่อทำงานต่อไป





ตรงนี้จะเป็นส่วนของการสร้าง McAfee Emergency Disk ซึ่งถ้าเราสร้าง จะสามารถนำแผ่น Disk นี้ไปบูทเครื่องได้แบบไม่มีไวรัส ซึ่งแนะนำว่า ควรจะมีการทำแผ่นนี้ เก็บไว้ สำหรับในกรณีตอนที่เครื่องมีปัญหาจริงๆ หรือเครื่องของเพื่อนๆมีปัญหา จะได้นำแผ่นนี้ ไปแก้ไขให้กับเครื่องของเพื่อนได้ และ ทำเสร็จ ควรจะทำการ write protect แผ่นไว้ด้วย ( ทำโดย สังเกตที่แผ่น diskette จะมีปุ่มดำๆ ให้เลื่อนไปอีกข้างหนึ่ง )
หากไม่ต้องการสร้างก็กด Cancel





กด NO เพื่อทำงานต่อไปโดยไม่ต้องการอ่านรายละเอียด




บอกว่าไฟล์เริ่มต้น autoexec.bat ของเครื่องจะเปลี่ยนไป กด Next





หลังจากที่ทำการติดตั้งจนเสร็จ จะต้องทำการบูทเครื่องใหม่ก่อนนะครับจึงจะเริ่มต้นใช้งานได้ กด Finish เพื่อ Restart Computer
หลังจากที่ได้ติดตั้ง McAfee แล้วควรจะทำการตรวจสอบด้วยนะครับว่าได้ทำการ Enable การป้องกันไว้ด้วยหรือเปล่า โดยกดที่ไอคอนของ McAfee ที่ Menu Bar ด้านล่างขวา





ในส่วนของ System Scan Status ให้เป็น Enable หรือขึ้นแบบตามรูปครับ (อย่ากดที่ Disable)



10.3 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสของ PC-Cillin 2000 เพื่อที่จะรู้จักกับไวรัสตัวใหม่ๆ

10.3.1 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสแบบ Automatic
            ในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ อัพเดตข้อมูลไวรัสแบบ Automatic เนื่องจากว่าเป็นวิธีการที่ง่าย และรวดเร็วครับ วิธีการเริ่มต้นจาก เปิดโปรแกรม PC-Cillin 2000 ขึ้นมาก่อน





           หลังจากเปิดโปรแกรมแล้ว เลือกกดที่ปุ่ม Update และเลือกที่ Update Now




          โปรแกรมจะแสดงรายการของข้อมูลไวรัสที่มีอยู่ ว่ามีการอัพเดตล่าสุดถึงรุ่นไหน ให้กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการตรวจสอบและอัพเดต




           ในขั้นตอนนี้ หากเรายังไม่ได้ทำการ Register จะมีเมนูแบบนี้ขึ้นมาก็ให้ใส่ชื่อและอีเมล์ของท่านลงไป หรืออาจจะใส่ชื่อหลอก ๆ ไว้แบบตัวอย่างก็ได้ และกดที่ปุ่ม Register Now (ถ้าหากทำการ Register ไปแล้วจะไม่มรเมนูนี้ขึ้นมา)




          จากนั้น โปรแกรมจะทำการตรวจสอบข้อมูลของไวรัสที่มีอยู่ และข้อมูลของไวรัสบนเว็บไซต์ ว่าเป็นข้อมูลล่าสุดหรือไม่ หากไม่ใช่ล่าสุด ก็จะแสดงรายละเอียดและเริ่มต้นการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสตัวล่าสุด เพื่อทำการอัพเดตเอง กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการอัพเดตต่อไป




          โปรแกรมจะเริ่มต้นการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสล่าสุด รอสักพักหนึ่งก่อนครับ เมื่อโปรแกรมดาวน์โหลดข้อมูลมาเรียบร้อย ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนของการ อัพเดตข้อมูล เพื่อให้โปรแกรมรู้จักกับไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้แล้ว

         
นอกจากนี้ ตัวโปรแกรม PC-Cillin 2000 ยังสามารถทำการตั้งเวลาของการ อัพเดตข้อมูลไวรัสได้ด้วย วิธีการคือ เลือกกดที่เมนู Update Later และเลือกตารางเวลาที่ต้องการให้โปรแกรม ทำการอัพเดตแบบอัตโนมัติตามต้องการ




         ตัวอย่างของหน้าจอการตั้งเวลาการอัพเดตข้อมูลไวรัสแบบ ตั้งเวลาการอัพเดตตามต้องการ


10.3.2 การอัพเกรดข้อมูลไวรัสแบบ Manual
          สำหรับการดาวน์โหลดข้อมูลไวรัส และนำมาทำการอัพเกรดแบบ Manual ก็ทำได้โดยการเข้าไปดาวน์โหลดข้อมูลไวรัสตัวใหม่ๆ ที่เว็บไซต์ http://www.antivirus.com/ จากนั้นเลือกดาวน์โหลด Scan Engine และ Pattern File ของไวรัสตัวใหม่ล่าสุดมาทำการ Unzip และนำมา Copy ทับลงไปใน Folder ของโปรแกรม PC-Cillin 2000 หรือ C:\Program Files\Trend PC-Cillin 2000 โดยทำการลงทับของเก่าได้เลย ทั้งในส่วนของ Scan Engine และ Pattern Data เมื่อทำการ Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่อีกครั้ง โปรแกรมก็จะอ่านข้อมูล และสามารถรู้จักไวรัสใหม่ๆ ได้ทันที