วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 4 หน่วยความจำ

4.1 บทนำ

       หน่วยความจำเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ตามแนวคิดของการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ วอน นอยแมน ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวคิดของการเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ในหน่วยความจำ แล้วให้ชีพียูอ่านโปรแกรมมาดำเนินการ โดยมีขั้นตอนการทำงานเป็นวงจรรอบชัดเจนดังนั้นอาจเรียกแนวคิดของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ว่า แนวคิดการเก็บโปรแกรม(Store Program Concept )
      หน่วยความจำจึงเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลซีพียูจะทะงานตามโปรแกรมที่มีการบรรจุไว้ในหน่วยความจำ เนื่องจากวงจรรอบการทำงานของซีพียูกระทำได้รวดเร็วมาก ดั้งนั้นจึงต้องเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ในหน่วยความจำและซีพียู   เรียกใช้หรือนำเก็บได้อย่างรวดเร็ว
      หน่วยความจำแบบเครื่องพีซีที่เป็นหน่สยความจำหลักเรียกว่า RAM ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก Random  Access  Memory การเรียกว่า RAM เพราะโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลจัดเก็บสถานะซึ่งแทนเลขไลบารี่ โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่เก็บที่เรียกว่า แอดเดรส โดยทั่วไปจัดโครงสร้างของหน่วยความจำให้มีความกว้างขนาด 8 บิต และตำแหน่งแอดเดรสบอกของ RAM ทั้งหมด เช่น ถ้าRAM มีขนาด 64 กิโลไบต์ (64 k) ก็หมายถึงขนาดของ RAM มีความกว้าขนาด 8 บิต หรือ 1 ไบต์ และมีตำแหน่งที่เก็บได้เท่ากับ 65536 ตำแหน่ง (2  ยกกำลัง 16) โดยมีแอดเดรสกำหนดตำแหน่งทั้งหมด 16 บิต


SDRAM


DDRAM



RDRAM
รูปที่1 แสดงภาพหน่วยความจำ

4.2  หน่วยความจำแบบโวลาไทน์ และนอนโวลาไทน์
          หน่วยความจำแบบโวลาไทน์นอนโวลาไทล์เมมโมรี่ คือ หน่วยความจำทุกชนิดที่ไม่ต้องทำการรีเฟรชคอนเทนต์ ได้แก่ รอมทุกประเภท (ROM) เช่น พีรอม (PROM), เอ็ปรอม (EPROM), อีเอ็ปรอม (EEPROM) และแฟลชเมมโมรี่ (Flash Memory) รวมถึงแรม (RAM) ที่ต้องใช้ไฟเลี้ยงจากแบตเตอรี่ด้วย
"Open-Source" หรือ "โอเพ่นซอร์ส" คือคำที่ใช้แทนคำว่า ฟรีซอฟต์แวร์ (Free Software) หรือซอฟต์แวร์เสรี ที่ให้เสรีภาพแก่ผู้บริโภคในการรัน, แก้ไขปรับปรุง และเผยแพร่โปรแกรม ไม่ว่าจะโดยการจำหน่ายหรือให้ฟรีก็ตาม แต่ที่สำคัญคือต้องแถมซอร์สโค้ด (Source Code) ไปด้
Operating System (OS) หรือ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่โหลดขึ้นมาตามกระบวนการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์
PCI Expressเทคโนโลยีใหม่สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต โดยเฉพาะกราฟิกการ์ด มีแบนด์วิธกว้างกว่าและความเร็วสูงกว่ามาตรฐาน PCI ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
Podcastพ็อดคาสต์หรือ Podcast คือการบันทึกเสียงหรือการนำไฟล์เสียงขึ้นไปเก็บบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้สนใจดาวน์โหลดมาฟัง
Processor หรือ โปรเซสเซอร์ คือวงจรตรรก (Logic) ซึ่งทำหน้าที่ตอบสนองหรือประมวลชุดคำสั่งพื้นฐาน (Instruction) ที่ใช้ในการขับเคลื่อนคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้วคำ “Processor” อาจใช้แทนคำ “CPU” ได้ ทั้งนี้โปรเซสเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพีซีหรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กจะนิยมเรียกว่า “Microprocessor” หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์

4.3 สแตติกแรมและไดนามิกส์แรม (Static RAM and Dynamic RAM )
              สแตติกแรมและไดนามิกส์แรม (Static RAM and Dynamic RAM)
Static RAM หรือ SRAM เป็นวงจรที่สร้างให้เก็บข้อมูลในลักษณะ มีไฟและ ไม่มีไฟ ถ้ามีสัญญาณไฟฟ้าจะตรวจสอบตรรกะเป็น 1 ไม่มีสัญญาณให้ค่าตรรกะเป็น 0 ทำให้เก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาที่มีไฟเลี้ยงและทำงานด้วยความเร็วสูง แต่วงจรจะมีขนาดใหญ่ใช้กระแสไฟมากทำให้เกิดความร้อนในตัวชิพสูง ราคาแพงกว่าไดนามิกแรมมากจึงใช้เป็นหน่วยความจำแคชเท่านั้น
Dynamic RAM หรือ DRAM เป็นวงจรที่สร้างให้เก็บข้อมูลโดยการตรวจสอบว่า มีประจุ หรือ ไม่มีประจุ ซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่าแบบแสตติกมากราคาถูกเป็นแรมที่ใช้ทำหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่มีข้อเสียที่ประจุไฟฟ้าในแรมจะลดจำนวนลงไปเรื่อย ๆ จึงต้องมีระบบเติมประจุให้กับส่วนที่มีประจุเป็นระยะเรียกว่าการ Refresh เพื่อให้ไดนามิกแรมเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาที่ใช้งาน ช่วงเวลาที่เติมประจุเรียกว่า Refresh Rate 

4.4  เทคโนโลยี  DRAM   ที่ใช้ใน PC
Computer PC จะใช้แรมประเภท DRAM เนื่องจากเหตุผลทางด้านราคาต่อความจุที่ดีกว่า ลักษณะภายนอกของ RAM โดยทั่วไปจะเป็นชิปที่ติดมากับแผ่นเมนบอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราสามารถเพิ่มจำนวนของ RAM ได้โดยการเสียบเพิ่มที่ Socket บนเมนบอร์ด ซึ่ง RAM แต่ละแบบแต่ละรุ่นก็จะมี Socket ที่ต่างกัน ดังนี้

1. SDRAM (Synchronous Dynamic Random - Access Memory)




4.5หลักการทำงานของSDRAM     
SDRAM ใช้ความเร็วแบบ Synchronous โดยที่หลักของการทำงานของ SDRAM จะขึ้นอยู่กับความเร็วของสัญญาณนาฬิกาของระบบทั้งหมด การถ่ายเทข้อมูลจะเกิดขึ้น 1 ครั้ง ต่อหนึ่งลูกคลื่นสัญญาณนาฬิกา โดยทำงานที่ความเร็วระดับเดียวกับ Bus มีความเร็วตั้งแต่ 66MHz ถึง 133MHz

     จุดด้อยของ SDRAM     ถึงแม้ว่า SDRAM จะทำงานในระดับความเร็วระดับเดียวกับ Bus แต่ SDRAM ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงความเร็ว เนื่องจากจุดด้อยของหน่วยความจำประเภทนี้อยู่ที่การทำงานตามความเร็วของค่า แคช จึงทำให้หน่วยความจำ SDRAM ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นหน่วยความจำที่มีการส่งข้อมูลเพียง 64 bit จึงมีความเร็วอยู่ที่ 1064 MB/s bandwidth (133MHz x 8 bytes) ที่หน่วยความจำแบบ PC133 และเมื่อการประมวลข้อมูลมีมากขึ้นทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ต่อมาจึงได้มีการพัฒนา RAM แบบ DDR ขึ้นมาแทน

2. RDRAM (Rambus DRAM)


   









Intel ได้พัฒนา RDRAM (Rambus DRAM) ขึ้นเพื่อใช้กับ Pantium 4 willamate (Socket 423) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า DDR และ SD RAM     หลักการทำงานของ RDRAM

     
RDRAM (Rambus DRAM) มีหลักการทำงานคล้ายกับ DDR RAM แต่การทำงานจะทำงานเป็นคู่ทำให้จำนวน bit ที่รับส่งในแต่ละรอบสูงขึ้นเป็น 128 bit ทำให้สามารถทำ bandwidth สูงสุดถึง 6400 MB/s     จุดด้อยของ RDRAM

    
 ข้อด้อยของ RAM แบบนี้ ก็คือ เรื่องของราคาที่
ค่อนข้างสูง รวมทั้งค่อนข้างที่จะสิ้นเปลืองแผ่นความร้อนมากทำให้ RAM ประเภทนี้ไม่ได้รับความนิยม และถูกแทนที่ด้วย DDR RAM แบบ Duel Channel ในที่สุด

3. DDR RAM (Double Data Rate Random-Access Memory)
    

 
DDR RAM เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อมาจาก SDRAM ในช่วงแรกบริษัทอินเทลไม่พัฒนา
ชิพเซต และไม่ให้การสนับสนุน ทำให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น เอเอ็มดี และบริษัทผู้ผลิตชิพเซตและสร้างเมนบอร์ดชั้นนำของโลกจากไต้หวัน ซึ่งได้แก่ VIA, SiS, ATi ได้รวมกันและพัฒนาเทคโนโลยีนี้จนได้รับความนิยมสูง     หลักการทำงานของ DDR RAM     RAM ประเภทนี้จะเป็นการส่งข้อมูลผ่านสัญญาณขาขึ้นและขาลงของสัญญาณนาฬิกาแทนแบบเดิมที่ส่งข้อมูลผ่านสัญญาณขาขึ้นเท่านั้น เป็นผลทำให้อัตราส่งถ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งก็คือ ที่มาของชื่อ DDR (Double Data Rate)

     ความแตกต่างระหว่าง DDR RAM และ SDRAM     DDR RAM และ SDRAM มีความแตกต่างกัน คือ จำนวนของขาสัญญาณ (Pins) ที่มี 184 ขา ซึ่งมากกว่า SDRAM ที่มีจำนวนขาสัญญาณเพียง 168 ขา นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
          - ขนาดหีบห่อ หรือ Package DDR SDRAM มีขนาด 0.65 มิลลิเมตร ส่วน SDRAM มีขนาดหีบห่อที่ 0.8 มิลลิเมตรเท่านั้น          - ส่วนของแรงดันไฟเลี้ยง DDR SDARM กินไฟ 2.5V และที่สำคัญอัตราการแกว่งไกว (ช่วงเวลาในการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้า) ของแรงดันไฟที่ต่ำ          - ลักษณะของ Interface DDR SDRAM ใช้อินเทอร์เฟซแบบ SSTL_2 (Stub Series-Terminated Logic) ซึ่งเป็นมาตรฐานการอินเทอร์เฟซสำหรับหน่วยความจำที่มีความเร็วสูง โดยมีคุณลักษณะพิเศษของการทำงานแบบสวิตซ์ชิ่ง ซึ่งจะทำให้หน่วยความจำสามารถทำงานที่ความเร็วที่สูงกว่า 200MHz ขึ้นไปได้ ซึ่ง DDR SDRAM สามารถทำงานที่ความเร็ว 300 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) (ปัจจุบันอยู่ที่ 550MHz)          - DDR SDRAM มีการเทอร์มิเนตที่ปลายของเส้นสัญญาณจึงลดสัญญาณรบกวน โดยเฉพาะ
หากทำงานที่ความเร็วสูงถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก          - CAS Latency ซึ่งเป็นค่าหน่วงเวลาที่มีความสำคัญในหน่วยความจำ เนื่องจากเป็นค่าที่บอกหลังจากที่สัญญาณ CAS มาถึงตัว DRAM และอีกนานเท่าใดข้อมูลจาก DRAM จึงจะถูกปลดปล่อยออกมา โดย DDR SDRAM นี้ มีค่า CAS Latency อยู่ที่ 2, 2.5 และ 3 ตามลำดับ และเมื่อใดที่ค่าของ Latency ยิ่งน้อยลงเท่าใดการส่งข้อมูลออกมาจะทำได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น รวมถึงการรองรับระบบแรมแบบแถวคู่ (Dual in line memory modules-DIMM) เป็นการเพิ่มจำนวนของข้อมูลที่ขนส่งได้ใน 1 รอบเป็น 128 bit ยิ่งทำให้มี Bandwidth เพิ่มขึ้นจนสามารถแทนที่ RDRAM ได้ในที่สุด     DDR RAM ยังมีการพัฒนาต่อเนื่องในเรื่องขนาดและความเร็วจาก DDR RAM เป็น DDR2 เนื่องจากความต้องการ Bandwidth ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจาก Processor สามารถทำงานได้เร็วขึ้น มีจำนวน Core มากขึ้น จึงทำให้มีเทคโนโลยี DDR2 เกิดขึ้นมาเพื่อลดปัญหาคอขวดที่เกิดขึ้น     ค่า CAS Latency หรือ CL เป็นตัวบ่งบอกถึง Timing ในการทำงานของ RAM ซึ่งค่ายิ่งน้อย RAM ยิ่งทำการ Read Write ต่อ 1 รอบสัญญาณได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในทางกลับกันถ้า CL สูง การทำงานต่อ 1 รอบสัญญาณก็จะมาก ทำให้ประสิทธิภาพที่ได้ลดน้อยลงตามไปด้วย

4. DDR2    


DDR2 พัฒนาขึ้นมาจาก DDR โดย DDR2 จะมีจำนวน 240 ขา ที่มีการรวมสัญญาณที่ระบบ IO-buffer ข้อมูลได้ส่งจากหน่วยความจำได้ 4 ทาง โดยเป็นการส่งข้อมูลแบบ 16 bit ซึ่งจะใช้ในการเพิ่มขึ้นของอัตราข้อมูล ดังนั้นเราจะได้รับผลของอัตราของคลื่นความถี่ของข้อมูลถึง 400 MHz และยังเป็นข้อมูลที่มีความกว้าง 64 bit เท่าเดิม ชื่อของ DDR II 400 ซึ่งเครื่องหมายของระบบเหมือนกับ DDR และยังมีการบอกถึงผลของการโอนถ่ายข้อมูลและอัตราของคลื่นความถี่ที่มีลักษณะ เหมือนกัน     ความแตกต่างของ Memory Bandwidths ที่ 100 Mb/s สำหรับ SDRAM และ 200 Mb/s สำหรับ DDR และ  400 Mb/s สำหรับ DDR II

     DDR II จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นมากกว่า DDR ถึงเท่าตัว ถึงแม้ว่าหน่วยของความจำแบบ DDR2 จะมีค่า Timing สูงกว่า DDR ก็ตาม

     จุดเด่นของชิป DDR2

     
จุดเด่นของชิป DDR2 คือ สามารถพัฒนาให้มีความเร็วในการทำงานและมีความจุได้สูงกว่า DDR แบบเดิม แม้ว่าจะมี DDR บางรุ่น เช่น ของบริษัท Kingmax ที่ใช้แพคเกจแบบ BGA กับหน่วยความจำ DDR ของตน ซึ่งผลิตออกมาเพื่อเน้นการนำไปโอเวอร์คล็อก ช่วยให้หน่วยความจำทำงานได้ที่ความเร็วสูงอย่างมีเสถียรภาพ แต่ในภาพรวมหน่วยความจำ DDR จะผลิตบนมาตรฐานของ แพคเกจแบบ TSOP มากกว่า เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่ชิป DDR2 ใช้แพคเกจแบบ FBGA (Fine pitch Ball Grid Array) มีจุดเด่นตรงที่สามารถระบายความร้อนได้ดีมาก รวมทั้งลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าระหว่างตัวชิปได้ดี โครงสร้างของแพคเกจ FBGA ทำให้ตัวชิป DDR2 มีขนาดเล็กลง ใช้พลังงานน้อย เป็นเหตุผลให้ความร้อนลดลงได้ประมาณ 30%

     จากข้อได้เปรียบเหล่านี้ที่ทำให้ DDR2 สามารถพัฒนาให้มีความเร็วในการทำงานและมีความจุได้สูงกว่า DDR แบบเดิม และเหตุผลอีกประการที่ทำให้ DDR2 ที่ได้เปรียบ DDR คือ เรื่องของการแผ่ความร้อน เนื่องจากหน่วยความจำ DDR นั้นมีความจุ 256 MB, 512 MB ในขณะใช้งานไม่เกิดความร้อนมากนัก แต่ถ้าความจุสูงมากขึ้น จะแผ่ความร้อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น การใส่หน่วยความจำถึง 4GB จะแผ่ความร้อนออกมาอย่างมาก ซึ่งในอนาคตด้วยความเร็วของหน่วยความจำที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันย่อมส่งผลกระทบ อย่างแน่นอน จึงเป็นเหตุผลให้เกิดการพัฒนา DDR2 ขึ้นมา โดยตัวชิป DDR2 ใช้ไฟเพียง 1.8 V เท่านั้น เมื่อเทียบกับตัว DDR ที่ใช้ไฟ 2.5 2.6 V จะเห็นว่าลดลงมามาก ทำให้ความร้อนจากการใช้งานเกิดขึ้นน้อยกว่า

5. DDR3



     
DDR3 ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ Barandwidth ที่ค่อนข้างสูงในการประมวลผลในปัจจุบัน รวมทั้งความต้องการในเรื่องของการประหยัดพลังงานลดภาวะโลกร้อน

     ความแตกต่างของ DDR3 และ DDR2
  
     
ลักษณะภายนอกของ DDR3 มีลักษณะเหมือนกับ DDR2 ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นแพคเกจแบบ FBGA (Fine pitch Ball-Grid Array) และจำนวนของขาที่มี 240 ขาเท่ากัน แต่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากภายในแตกต่างกันค่อนข้างมาก ได้แก่ การใช้พลังงานที่ DDR3 ใช้ไฟเลี้ยงเพียง 1.5 V ซึ่งน้อยกว่า DDR2 ที่ใช้ถึง 1.8 V เนื่องจากกระบวนการผลิต DDR3 ที่เล็กกว่าจึงทำให้กินไฟน้อยกว่า และที่สำคัญ คือ Prefetch Buffer ที่มากกว่า DDR2 2 เท่า และ Timming Margin ชิป มีขนาด 4 กิกะบิต ทำให้มีหน่วยความจำได้สูงถึง 16 GB หรือใหญ่กว่านั้น ทำให้ DDR3 มีความเร็วและรองรับความจุมากกว่า DDR2

     จุดเด่นของ DDR3

     
DDR3 ยังมีความสามารถในการรีเซตตัวเองของชิปเมโมรีทุกครั้งที่เครื่อง PC หยุดการทำงานลง ไม่ว่าจะจากการปิดเครื่องหรือเครื่องเกิดค้างขึ้นมา ซึ่งข้อดีประการนี้จะทำให้ไม่มีข้อมูลหลงเหลือหรือค้างอยู่ภายในชิปเมโมรี ทำให้ลดอัตราความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวชิปได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเริ่มการทำงานใหม่อีกครั้ง เนื่องจากชิปเมโมรีจะเริ่มต้นจาก 0 หรือ เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่มีการทำงาน และ Fly By Topology ซึ่งจะสามารถเข้ามาช่วยให้การทำงานของ DDR3 ทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยลดระยะเวลาชดเชยความล่าช้าของ Latency ได้อีกต่อหนึ่ง

     DDR3 ในปัจจุบันทำความเร็วได้มากสุดถึง 1600MHz และกำลังจะแทนที่ DDR2 เนื่องมาจากความเร็วที่สูงกว่าและประหยัดไฟมากกว่า แต่ราคาในปัจจุบันยังแพงกว่า DDR2

มาตรฐานจังหวะการทำงานของ DDR RAM 
ให้คุณเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างมาตรฐานเมโมรีแบบ DDR2 และ DDR3 ได้ง่ายขึ้น ให้ดูตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างมาตรฐานทั้งสองอย่างเป็นทางการจาก JEDEC 




ข้อสังเกตุความต่างระหว่าง DDR3 กับ DDR2

1. หน่วยความจำ DDR3 กำหนดคีย์แตกต่างไป เพื่อป้องกันไม่ให้เสียบลงช่องสำหรับหน่วยความจำ DDR2
2. หน่วยความจำ DDR3 SODIMM มีปัจจัยด้านรูปแบบเหมือนกับ DDR2 แต่มีขาเพิ่มอีก 4 ขา นอกจากนั้นยังกำหนดคีย์แตกต่างไป เพื่อป้องกันไม่ให้เสียบลงช่องสำหรับ DDR2
เนื่องจากมีการกำหนดแรงดันไฟฟ้า และจำนวนขาที่แตกต่างกัน หน่วยความจำ DDR3 จึงมี ' คีย์ ' หรือร่องที่ขั้วต่อแตกต่างไป เพื่อป้องกันไม่ให้เสียบลงช่องที่ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ หน่วยความจำ DDR3 จะใส่ได้เฉพาะกับระบบ และเมนบอร์ด ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อรองรับหน่วยความจำ DDR3 เท่านั้น

ชิปหน่วยความจำ DDR3

ชิปหน่วยความจำ DDR3 ผลิตในรูปแบบ FBGA (FINE-PITCH BALL GRID ARRAY) เหมือนกับชิปของ DDR2 ตามรูปด้านล่าง




การเชื่อมต่อชิป DRAM ทั้งหมดอยู่ด้านล่างชิป DRAM

ชิป DDR3 ยังมีลักษณะภายในแตกต่างจากชิปหน่วยความจำ DDR2 อีกด้วย เช่น ชิปหน่วยความจำ DDR3 มีคุณสมบัติดังนี้:

ทำงานที่แรงดันไฟฟ้า 1.5 โวลต์ ทำให้ใช้พลังงานลดลงประมาณ 30% และมีความร้อนลดลงด้วย เมื่อเทียบกับ DDR2
ประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ช่วยปรับปรุงการทำงานของหน่วยความจำ เพิ่มประสิทธิภาพ และไทม์มิ่งมาร์จิน
ชิปมีขนาด 4 กิกะบิต ช่วยให้มีหน่วยความจำได้สูงถึง 16GB หรือใหญ่กว่านั้น

Bandwidth ของ DDR3

ข้อมูลจำเพาะสำหรับหน่วยความจำ DDR3 ได้รับการพัฒนาและอนุมัติจาก JEDEC ธรรมเนียมการกำหนดชื่อของ DDR3 เหมือนกับ DDR2 และ DDR




ระบบที่มีหน่วยความจำสองช่องสัญญาณ จะมีแบนด์วิดท์กว้างเป็นสองเท่า ของแบนด์วิดท์กว้างสุด ตามที่ระบุข้างต้น เช่น ระบบที่ใช้ PC3-8500 สามารถมีแบนด์วิดท์ของหน่วยความจำได้กว้างสุด 2 X 8.5 GB/ วินาที หรือ 17 GB/ วินาที

ข้อควรระวัง + จุดน่าสังเกตุที่เห็นได้ชัดระหว่าง DDR3 กับ DDR2



4.6 การตรวจสอบข้อมูลของ RAM
    Parity  กับ Non- Parity ส่วนที่แตกต่างกันของสมองแบบนี้ ก็คือว่า แบบ Parity  จะมีความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยจะมี  bit ตรวจสอบ  1 ตัว ถ้าพบว่ามีข้อมูลผิดพลาด ก็จะเกิด System Halt ในขณะที่แบบ Non-Parity จะไม่มีการตรวจสอบ bit นี้
  Error Checking and Correcting  (ECC)  หน่วยความจำแบบนี้ ก็พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเพราะนอกจากจะตรวจสอบว่ามีข้อมูลผิดพลาดมาก ๆมันก็ halt   ได้เหมือนกัน สำหรับ   ECC  นี้ จะเปลือง Overhead เพื่อเก็บข้อมูลมากกว่าแบบ Parity ดังนั้น  Performance ของมันจึงถูกลดทอนลงไปบ้าง


สรุปท้ายบท

การเพิ่มหน่วยความจำเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกหน่วยความจำที่จะมาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องดูที่ชนิดและความเร็วในการส่งข้อมูลบัส (Bus)  เช่น  บัส  133, บัส  333  ก็จะทำงานได้ดีกับเมนบอร์ดที่รองรับความเร็วของบัสที่เท่ากันถ้าในกรณีที่เรานำหน่วยความจำที่มีบัสสูงกว่าที่เมนบอร์ดเราจะรองรับได้  เช่น ถ้าเมนบอร์ดสามารถรองรับบัสของหน่วยความจำได้  100 MHz  แต่หน่วยความจำที่นำมาใช้มีบัส  133 MHz  ในกรณีนี้หน่วยความจำก็จะทำงานได้ที่  100 MHz ตามที่เมนบอร์ดรองรับได้เท่านั้นซึ่งทำให้ใช้งานความเร็วในการส่งข้อมูลของหน่วยความจำไม่เต็มที่




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น